ความแตกต่างระหว่าง Beforedent และ Invisalign 

ในบทความนี้เราเลือกแบรนด์ Beforedent (บีฟอร์เดนท์) ซึ่งเป็นแบรนด์จัดฟันใส Clear Aligner จากประเทศเกาหลี มาเปรียบเทียบให้ดูกัน โดยหน้าที่หลักของทันตแพทย์ไทยคือการดูแลคนไข้ ตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่การเช็กสุขภาพช่องปาก การเคลียช่องปาก และในส่วนของทันตแพทย์ Beforedent ที่เกาหลี จะเป็นผู้ออกแบบการจัดฟันแบบใสแบบพิเศษที่ไม่เหมือนยี่ห้ออื่น โดยสรุปได้ดังนี้

• การออกแบบอุปกรณ์

หากพูดถึงการออกแบบอุปกรณ์ แน่นอนว่าทุกแบรนด์สามารถทำออกมาได้คล้ายคลึงกัน ด้วยการเคลื่อนฟันผ่านแรงดันที่สม่ำเสมอ รวมถึง Invisalign และ Beforedent ด้วย โดย Invisalign จะออกแบบให้การเคลื่อนตัวของฟันที่ต้องคอยเปลี่ยนอุปกรณ์ทุกๆ 2 สัปดาห์ ส่วน Beforedent จะแตกต่างในส่วนของการออกแบบอุปกรณ์ให้มีความหนา และบางสลับกันไป ซึ่งคนไข้ต้องเปลี่ยนทุก 1 สัปดาห์ เพื่อทำให้การเคลื่อนฟันไปในตำแหน่งที่เหมาะสม โดยทั้งสองแบรนด์จะไม่เจ็บ หากแต่จะรู้สึกตึงๆ ในช่วงแรกของการเปลี่ยนอุปกรณ์แต่ละชุดเท่านั้นเอง

• การตลาด

ในปัจจุบันการจัดฟันใส ได้มีการแข่งขันกันอย่างสูงในเมืองไทย แต่ละแบรนด์ทำการตลาดอย่างหนัก ซึ่งแบรนด์ Beforedent กับ Invisalign จะมีการตลาดที่แตกต่างกันตรงที่ Beforedent จะเน้นทำการตลาดออนไลน์แบบศูนย์กลาง ใช้แบรนด์ตนเองเป็นคนกลางในการให้บริการลูกค้าทั้งหมด เข้าถึงได้ทั้งกลุ่มลูกค้า และกลุ่มคลินิก ส่วน Invisalign จะเน้นทำการตลาดรูปแบบออฟไลน์ โดยให้บริการผ่านทางคลินิกเท่านั้น และแต่ละคลินิกก็จะไปทำการตลาดของตัวเองแตกต่างกันออกไป

• การบริการ

ดังนั้นการให้บริการจึงจะแตกต่างกันตรงที่ Beforedent สามารถพูดคุย และปรึกษาปัญหาสุขภาพฟันผ่านช่องทางออนไลน์ได้ฟรี และหลังจากได้รับอุปกรณ์จัดฟันจะมีแอดมินคอยสอบถามอย่างสม่ำเสมอ หากต้องมีการนัดเข้าพบทันตแพทย์ แอดมินก็จะเป็นผู้ดูแลในส่วนนั้น ต่างจาก Invisalign จะต้องเข้าพบทันตแพทย์ตามนัดที่คลินิกด้วยตนเอง และหากต้องการปรึกษาก็จะขึ้นอยู่กับการให้บริการของแอดมินแต่ละคลินิกต่อไป

• งบประมาณราคา

ในส่วนของงบประมาณราคาจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน เนื่องจาก Invisalign มีราคาเริ่มต้นค่อนข้างสูง โดยเริ่มต้นที่ 70,000 บาท (ราคาขึ้นอยู่กับแต่ละคลินิก) ส่วน Beforedent มีราคาเริ่มต้นจัดฟันใสในราคา 37,000 บาท ที่แตกต่างกันส่วนนึงเป็นเพราะรูปแบบการทำการตลาดที่แตกต่างกัน ทำให้ Beforedent สามารถควบคุมค่าใช้จ่าย และสามารถนำเสนอสินค้าในราคาที่ลูกค้าจับต้องได้ ด้วยคุณภาพที่เท่าเทียมกัน ซึ่งถือว่าเป็นอีกแบรนด์ทางเลือกที่ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น